รถยนต์ไฟฟ้า คือเทรนด์ใหม่ของตลาดยานยนต์ทั่วโลก ช่วยลดการใช้น้ำมัน รวมถึงช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์สันดาป เพราะระบบมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ปล่อยไอเสียออกมา แต่รู้มั้ยว่าหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีหลายแบบ และมีระบบเก็บประจุไฟฟ้าแตกต่างกัน แล้วหัวชาร์จแต่ละแบบแตกต่างกันยังไง เลือกติดตั้งยังไงให้ถูกสเปกกับรถของเรา วันนี้ heygoody มีคำตอบให้กับทุกคน
วิธีชาร์จรถไฟฟ้า EV ในรถรุ่นปัจจุบัน
วิธีชาร์จแบบ Normal Charging คือสายชาร์จแบบมาตรฐานที่ติดมากับตัวรถ ไว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น ชาร์จไฟฟ้าจาก 0-80% ใช้เวลาประมาณ 12-16 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่
วิธีชาร์จแบบ AC Charging คือการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับหรือกระแสไฟบ้าน ไฟฟ้าจะวิ่งผ่านส่วนที่เรียกว่า On Board Charging เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรงแล้วชาร์จเข้าไปยังแบตเตอรี่ เหมาะกับการชาร์จข้ามคืน และใช้กับไฟบ้านโดยตรง
วิธีชาร์จแบบ DC Charging คือการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรงผ่านสถานีชาร์จไฟฟ้า จุดเด่นของการชาร์จแบบ DC คือไม่ต้องผ่าน On Board Charging ส่งกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่ได้เลย ใช้เวลาชาร์จน้อยกว่าแบบ AC Charging เฉลี่ย 40-60 นาทีก็เกือบเต็มแล้ว
ความแตกต่างระหว่างการชาร์จ AC และ DC
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการชาร์จแบบ AC (ไฟบ้าน) และ DC (ไฟจากสถานีชาร์จ) อยู่ที่ "ตำแหน่งของตัวแปลงกระแสไฟ" แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเก็บพลังงานในรูปแบบกระแสตรง (DC) เท่านั้น แต่ไฟฟ้าที่มาจากบ้านเป็นกระแสสลับ (AC) ดังนั้นจึงต้องมีการแปลงไฟก่อนเสมอ
การชาร์จ AC ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) จะถูกส่งเข้าไปยังรถยนต์ และตัวแปลงไฟที่เรียกว่า "On-Board Charger" ซึ่งติดตั้งอยู่ภายในตัวรถ จะทำหน้าที่แปลงไฟ AC ให้เป็น DC ก่อนอัดประจุเข้าแบตเตอรี่ On-Board Charger มีขนาดจำกัด ทำให้กระบวนการนี้ใช้เวลานานกว่า
การชาร์จ DC สถานีชาร์จ DC จะมี เครื่องแปลงไฟขนาดใหญ่อยู่ที่ตัวสถานีชาร์จเอง ทำหน้าที่แปลงไฟ AC จากระบบส่งไฟฟ้าให้เป็น DC ก่อน แล้วจึงส่งกระแสไฟตรง (DC) เข้าสู่แบตเตอรี่ของรถโดยตรง โดยไม่ผ่าน On-Board Charger ของรถ ทำให้สามารถชาร์จได้รวดเร็วและแรงกว่ามาก เปรียบเสมือนการเติมน้ำมันที่ปั๊มนั่นเอง
หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบ
หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV ตอนนี้มีทั้งหมด 3 ประเภทหลัก ๆ คือ หัวชาร์จแบบธรรมดา, หัวชาร์จแบบ Double Speed Charger และหัวชาร์จแบบ Quick Charger ทั้ง 3 แบบมีประเภทแยกย่อยลงไปอีก ดังนี้เลย
1.หัวชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charger)
หัวชาร์จรถไฟฟ้า AC หรือกระแสสลับแบบ Normal Charger คือสายที่ออกแบบให้ต่อจากเต้ารับไฟฟ้าในบ้านโดยตรง ข้อจำกัดคือมิเตอร์ไฟฟ้าต้องเป็น 15 (45)A และต้องใช้เต้ารับที่รองรับกับตัวปลั๊กของหัวชาร์จโดยเฉพาะ ทำให้ใช้เวลาชาร์จนานกว่า 12-16 ชั่วโมงถึงจะเต็มความจุของแบตเตอรี่ หัวชาร์จรถไฟฟ้าแบบธรรมดามี 2 แบบคือ
หัวชาร์จ Type 1
หัวชาร์จรถไฟฟ้า Type 1 นิยมใช้ในกลุ่มทวีปอเมริกาเหนือและประเทศญี่ปุ่น หัวต่อแบบ 5 Pin ใช้กระแสไฟฟ้า AC แบบ Single-Phase รองรับกระแสไฟฟ้า 32 A / 250 V
หัวชาร์จ Type 2
หัวชาร์จรถไฟฟ้า Type 2 นิยมใช้ในกลุ่มทวีปยุโรปและประเทศในเอเชีย หัวต่อแบบ 7 Pin ใช้กระแสไฟฟ้า AC แบบ Single-Phase รองรับกระแสไฟฟ้า 70A / 250V และ 3 Phase 63A / 480 V
2.หัวชาร์จแบบ Double Speed Charger หรือแบบ Wall Box
หัวชาร์จรถไฟฟ้า AC หรือกระแสสลับแบบ Double Speed Charger หรือการชาร์จจากเครื่อง Wall Box นิยมติดตั้งไว้ที่บ้านเป็นหลัก มีความปลอดภัยมากกว่าหัวชาร์จรถไฟฟ้า Normal Charger และใช้เวลาชาร์จน้อยกว่าเฉลี่ย 4-7 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับขนาดของ Wall Box และความจุแบตเตอรี่ โดยมีหัวชาร์จ 2 แบบคือ
หัวชาร์จ Type 1
เป็นหัวชาร์จ Type 1 ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มทวีปอเมริกาเหนือและประเทศญี่ปุ่น ใช้กระแสไฟฟ้า AC แบบ Single-Phase รองรับกระแสไฟฟ้า 16A, 40A และ 48A / 240 V
หัวชาร์จ Type 2
เป็นหัวชาร์จ Type 2 ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มทวีปยุโรปและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ใช้กระแสไฟฟ้า AC แบบ 3 Phase รองรับกระแสไฟฟ้า 16A และ 32 A / 250 V
3.หัวชาร์จแบบชาร์จเร็ว (Quick Charger)
สุดท้ายเป็นหัวชาร์จรถไฟฟ้ากระแสตรงหรือ DC Charging เหมาะกับผู้ที่ต้องการชาร์จในเวลาเร่งด่วนจาก 0-80% ภายใน 40-60 นาที มีหัวชาร์จทั้งหมด 3 แบบคือ
หัวชาร์จ CHAdeMO
หัวชาร์จ CHAdeMO (CHArge de MOve) รองรับกระแสไฟฟ้า 200A / 600V จุดเด่นคือชาร์จไฟแล้วขับต่อได้ทันที นิยมใช้ในประเทศญี่ปุ่น
หัวชาร์จ GB/T
หัวชาร์จ GB/T เป็นนวัตกรรมจากจีนแผ่นดินใหญ่ และพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบรับความนิยมของผู้ใช้รถไฟฟ้าที่มากขึ้น มีทั้งแบบ AC และ DC
แบบ AC รองรับกระแสไฟฟ้า 10A, 16A และ 32A / 250-440V
แบบ DC รองรับกระแสไฟฟ้า 80A, 125A 200A และ 250A / 750-1,000V
หัวชาร์จ CSS
หัวชาร์จ CSS (Combined Charging System) เป็นนวัตกรรมที่นำ AC Charging มาเพิ่มหัวต่ออีก 2 Pin เพื่อให้รองรับการชาร์จแบบ DC Charging ได้ มีทั้งหมด 2 แบบคือ
CSS Type 1 นิยมใช้ในกลุ่มทวีปอเมริกาเหนือและประเทศญี่ปุ่น รองรับกระแสไฟฟ้า 200A / 600V
CSS Type 2 นิยมใช้ในกลุ่มทวีปยุโรปและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย รองรับกระแสไฟฟ้า 200A / 1000V
วิธีเลือกหัวชาร์จให้เหมาะกับรถ EV
การเลือกหัวชาร์จให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าของเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยมีหลักการง่าย ๆ ดังนี้
ตรวจสอบประเภทหัวชาร์จของรถยนต์ โดยดูจากคู่มือรถหรือที่ช่องชาร์จของรถโดยตรง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีมาตรฐานดังนี้
ช่องชาร์จ AC (ชาร์จปกติ/ที่บ้าน) ส่วนใหญ่เป็นหัวชาร์จ Type 2
ช่องชาร์จ DC (ชาร์จเร็ว) ส่วนใหญ่เป็นหัวชาร์จ CCS Type 2
พิจารณาพฤติกรรมการใช้งาน หากขับรถระยะทางไม่ไกลในแต่ละวันและสามารถชาร์จที่บ้านข้ามคืนได้ การติดตั้งที่ชาร์จแบบ AC Wall Box (Type 2) ก็เพียงพอและสะดวกที่สุด แต่ถ้าต้องเดินทางไกลบ่อยครั้ง ควรเลือกรถที่มีหัวชาร์จแบบ DC (CCS Type 2) เพื่อความรวดเร็วในการชาร์จระหว่างทาง
เช็คความสามารถในการรับไฟของรถ รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นมีความสามารถในการรับกระแสไฟ (kW) ได้ไม่เท่ากัน เช่น รถบางรุ่นอาจรับไฟ AC ได้สูงสุด 7.4 kW ในขณะที่บางรุ่นรับได้ถึง 22 kW การเลือกติดตั้ง Wall Box ที่มีกำลังไฟสูงกว่าที่รถรับได้ก็จะไม่ช่วยให้ชาร์จเร็วขึ้น ดังนั้นควรเลือกให้เหมาะสมกับสเปกของรถ
เลือกจากมาตรฐานของสถานีชาร์จสาธารณะ ในประเทศไทย สถานีชาร์จเร็วสาธารณะ (DC Charging) ส่วนใหญ่จะใช้หัวชาร์จ CCS Type 2 เป็นมาตรฐานหลัก ดังนั้นการเลือกรถที่ใช้หัวชาร์จประเภทนี้จะทำให้คุณหาที่ชาร์จได้ง่ายและครอบคลุมกว่า
ติดตั้งหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้านต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
การติดตั้งหัวชาร์จรถไฟฟ้าทุกประเภท ต้องให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด 6 สิ่งดังนี้
ควรใช้มิเตอร์ไฟบ้านขนาด 30A (30/100) ขึ้นไป หรือถ้าเป็นมิเตอร์ 3 Phase ต้องใช้ขนาด 15/45 ขึ้นเพื่อให้มีกำลังไฟเพียงพอสำหรับชาร์จไฟฟ้าเข้าสู่ Wall box
ใช้สายไฟเมนขนาด 25 ตารางมิลลิเมตร และต้องมีตู้ Main Circuit Breaker (MCB) ที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้ไม่เกิน 100A
ติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า MDB เพื่อแยกช่องจ่ายไฟออกจากกัน และต้องมีช่องว่างที่รองรับกระแสไฟฟ้าของ Wall Box ได้เพียงพอ
ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว RDC เพื่อช่วยควบคุมกระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดการไหลเข้าออกไม่เท่ากัน RDC จะทำหน้าที่ตัดไฟอัตโนมัติ แต่ถ้าระบบชาร์จไฟฟ้ารุ่นไหนที่มีระบบ RDC อยู่ในตัวก็ไม่จำเป็นต้องติดเพิ่ม
เต้ารับไฟฟ้าควรใช้แบบ 3 รู และต้องแยกสายหลักดินออกจากระบบไฟฟ้าในบ้าน สายหลักดินต้องมีฉนวนหุ้มไม่ต่ำกว่า 10 ตารางมิลลิเมตร และต้องมีขนาด 16 มิลลิเมตร ยาว 2.4 เมตร ขึ้นไป
ตำแหน่งการติดตั้งตู้ชาร์จควรอยู่ในระยะห่างจากรถไม่เกิน 5 เมตร และต้องเป็นที่ร่มไม่โดนแดดและไม่ตากฝน เพื่อความปลอดภัยเวลาใช้งาน
เทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงเทคโนโลยีการชาร์จที่มุ่งเน้นความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อทำลายข้อจำกัดเดิม ๆ โดยเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในอนาคตมีดังนี้
การชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charging) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายขั้นสูงสุด เพียงแค่นำรถไปจอดในบริเวณที่มีระบบชาร์จไร้สาย ระบบก็จะทำการชาร์จแบตเตอรี่ให้โดยอัตโนมัติผ่านสนามแม่เหล็กไฟฟ้า โดยไม่ต้องเสียบสายชาร์จให้ยุ่งยาก เหมาะสำหรับการติดตั้งไว้ที่บ้านหรือที่จอดรถในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน
การชาร์จเร็วพิเศษ (Ultra-Fast Charging - UFC) คือการพัฒนาการชาร์จแบบ DC ให้มีกำลังไฟสูงขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการชาร์จลงได้อย่างมหาศาล เป้าหมายคือการทำให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลาใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน เทคโนโลยีนี้จำเป็นต้องใช้ควบคู่กับแบตเตอรี่ที่รองรับการอัดประจุความเร็วสูงได้ด้วย
การสลับแบตเตอรี่ (Battery Swapping) เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจ โดยผู้ใช้งานไม่ต้องรอชาร์จไฟ แต่สามารถขับรถเข้าไปยังสถานีบริการเพื่อนำแบตเตอรี่ที่หมดแล้วออก และให้ระบบนำแบตเตอรี่ลูกใหม่ที่ชาร์จเต็มแล้วใส่เข้าไปแทน ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที รวดเร็วกว่าการชาร์จทุกรูปแบบ แต่มีข้อจำกัดด้านมาตรฐานของแบตเตอรี่ที่ต้องเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
ขับรถยนต์ไฟฟ้า ทำประกันไว้อุ่นใจกว่า
ความแพร่หลายของรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก แต่ในปัจจุบันค่าซ่อม ค่าบริการก็ยังมีราคาสูงพอสมควร ถ้าต้องจ่ายเองสู้ทำประกันรถยนต์ไฟฟ้า หรือประกันรถ EV ยังไงก็ดีกว่า ค่าเบี้ยถูกเริ่มต้นปีละ 19,000 บาทเท่านั้น เลือกแผนกรมธรรม์โดนใจกับ heygoody ที่มาพร้อมบริษัทชั้นนำมากกว่า 17 ราย โปรโมชันจัดเต็ม แถมผ่อน 0% นานสุด 10 เดือนเลย
ที่มาของข้อมูล : autospinn